News

ขยายเพดานเงินกู้นศ. รายได้ไม่เกิน2.5แสน

จากปัญหาเด็กนักเรียนหญิงชั้น ม.6 ผูกคอตายเพราะเครียดที่ไม่มีเงินเรียนต่อหลังจากสอบเข้าเรียนต่อระดับอุดมศึกษาได้ เนื่องจากฐานะยากจน กลายเป็นเรื่องเศร้าอีก เรื่องที่เกิดขึ้นในช่วงเปิดเทอมการศึกษา ทำให้ หลายฝ่ายหันมาพิจารณาทบทวน เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุสลดใจขึ้นอีกนั้น

ที่กระทรวงศึกษาธิการ เมื่อวันที่ 21 พ.ค. นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.ศึกษาธิการ ให้สัมภาษณ์ภายหลังการประชุมร่วมกับ นายบุญลือ ประเสริฐโสภา รมช.ศึกษาธิการ นางจรวยพร ธรณินทร์ ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ นายสุเมธ แย้มนุ่น เลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา นพ.ธาดา มาร์ติน ผู้จัดการกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) และผู้บริหารกระทรวงศึกษาธิการ เกี่ยวกับการขยายหลักเกณฑ์ขั้นต่ำ รายได้ครอบครัวของผู้กู้กองทุนเงินให้กู้ยืมเงินเพื่อการศึกษาว่า ที่ประชุมเห็นตรงกันว่า ควรจะต้องมีการขยายเพดานการกู้ยืมเงินของ กยศ. จากเดิมที่จะต้องมีรายได้ครอบครัวขั้นต่ำไม่เกิน 150,000 บาทต่อปี เป็น 200,000-250,000 บาทต่อปี เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้เดือดร้อนสามารถกู้ได้มากขึ้น นับเป็นเรื่องดี แต่ ขณะเดียวกัน ก็มีข้อเสียที่อาจจะมีเด็กบางคนมาขอกู้เงิน และนำเงินไปใช้ผิดประเภท ดังนั้นจะต้องมีการกลั่นกรองให้ผู้ที่เดือดร้อนจริงๆได้กู้ เพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อการศึกษาอย่างแท้จริง ทั้งนี้ ข้อสรุปดังกล่าว จะต้องมีการเสนอต่อคณะกรรมการ กยศ. เพื่อพิจารณารายละเอียดอีกครั้ง และดำเนินการให้ทันใช้ในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2551 นี้ ส่วนในปีการศึกษา 2552 จะมีการยุบรวมกองทุน กยศ. และกองทุนเงินให้ กู้ยืมที่ผูกกับรายได้ในอนาคต (กรอ.) ให้เหลือกองทุนเดียวโดยนำข้อดีของทั้งสองกองทุนมารวมกัน เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด
รมว.ศึกษาธิการกล่าวอีกว่า ส่วนที่ผู้ปกครองมีความกังวลว่า จะต้องไปหาเงินมาจ่ายค่าลงทะเบียน ก่อนที่จะได้รับเงินกู้ยืมนั้น เรื่องนี้ได้มอบให้ สกอ. ประชาสัมพันธ์ไปยังมหาวิทยาลัยว่า ในระหว่างที่เด็กยังไม่ได้รับเงินกู้ยืม ให้นักเรียนมีสิทธิ์เข้าเรียนไปก่อน  รวมทั้งได้ กำชับให้ กยศ.เร่งดำเนินการให้เงินกู้ยืมกับนักเรียนให้เร็วขึ้น หากสามารถปรับลดขั้นตอนการกู้ลงได้ก็จะดีกยศ.ก็พร้อมรับไปพิจารณาเรื่องนี้ และก่อนที่จะถึงปี การศึกษา 2552 จะขอให้สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ประสานไปยังครูแนะแนวให้แจ้งเด็กล่วงหน้าว่า หากจะเรียนต่อในสถาบันอุดมศึกษา ก็สามารถที่จะกู้ยืมเงิน กยศ.ได้ ซึ่งจะทำให้นักเรียนมีความเข้าใจและมีทางออกในกรณีที่จะเรียนต่อมหาวิทยาลัย  “การขยายเพดานขั้นต่ำของรายได้ครอบครัวเพิ่มขึ้นดังกล่าว ไม่ใช่เพราะมีเด็กฆ่าตัวตายแล้วถึงจะมาแก้ไข หรือวัวหายล้อมคอก แต่เป็นสิ่งที่เราได้ประเมินมาตลอดว่า ควรจะต้องมีการแก้ไขในปัญหาใดบ้าง ที่ผ่านมาได้หารือกับ นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.คลัง เกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวแล้ว และเห็นตรงกันในหลักการที่จะให้มีการขยายหลักเกณฑ์ขั้นต่ำรายได้ครอบครัว เรื่องเม็ดเงินที่จะนำมาใช้ไม่น่าจะมีปัญหา” นายสมชายกล่าว
ด้าน นพ.ธาดากล่าวว่า การขยายเพดานของรายได้ ขั้นต่ำดังกล่าว จะทำให้มีผู้กู้เพิ่มมากขึ้นประมาณ 10-15% จากผู้กู้ปัจจุบันจำนวน 840,000 คน หรือประมาณ 100,000 คน เป้าหมายที่ต้องการช่วยเหลือก่อน จะเป็นกลุ่มนักศึกษาระดับอุดมศึกษาปีที่ 1 และนักศึกษาระดับ ปวช. 1 คาดว่าจะใช้งบประมาณในการกู้ยืมเพิ่มขึ้นประมาณ 2,000 ล้านบาท ทั้งนี้ ต้องขึ้นอยู่กับระดับของผู้กู้ด้วย แต่ยืนยันว่าขณะนี้ กยศ.มีเงินเพียงพอที่จะให้กู้ยืมได้อย่างแน่นอน ฝากไปยังผู้กู้ที่ครบชำระต้องคืนเงิน ให้มาชำระเงินคืน ซึ่งจะครบกำหนดในวันที่ 5 ก.ค.นี้ เพื่อที่จะนำเงินมาให้รุ่นน้องได้กู้ต่อไป
วันเดียวกัน นายสุริยา เสถียรกิจอำไพ ผอ.ศูนย์เฉพาะกิจ เพื่อช่วยนักศึกษาใหม่ที่ยากจน ปีการศึกษา 2551 สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา เปิดเผยว่า ขณะนี้ได้มีนักเรียนและผู้ปกครองโทรศัพท์เข้ามาขอความช่วยเหลือจากศูนย์เฉพาะกิจฯจำนวนมาก โดยในวันที่ 20 พ.ค. มี 114 ราย วันที่ 21 พ.ค. ตั้งแต่เวลา 08.00-12.00 น. มีจำนวน 60 ราย ส่วนใหญ่ร้อยละ 70 เป็นผู้ปกครอง โทรศัพท์เข้ามาสอบถามเรื่องกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) และแสดงความวิตกกังวลว่ามหาวิทยาลัยจะไม่ผ่อนผันเรื่องเงินลงทะเบียน ซึ่งศูนย์เฉพาะกิจฯ ได้ชี้แจงว่า สกอ.ส่งหนังสือถึงมหาวิทยาลัยทุกแห่งทั้งรัฐและเอกชน ขอความร่วมมือให้ผ่อนผันกรณีนักศึกษาไม่มีเงินลงทะเบียนแล้ว และได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี จึงขอให้ผู้ปกครองและนักศึกษาติดต่อกับมหาวิทยาลัยก่อน ไม่ควรวิตกไปล่วงหน้า อย่างไรก็ตาม ศูนย์เฉพาะกิจฯ ยังได้รับการติดต่อจากบุคคลและหน่วยงาน ซึ่งแสดงความประสงค์ที่จะรับอุปการะ หรือมอบทุนการศึกษาให้กับนักเรียนที่เดือดร้อนขัดสนจริงๆ อาทิ รพ.เพชรเวช กทม. ต้องการมอบทุนแพทย์ พยาบาล โดยไม่มีข้อผูกมัดและไม่จำกัดมหาวิทยาลัย ซึ่งผู้สนใจติดต่อได้ที่ศูนย์เฉพาะกิจฯ

 

ที่มา  www.thainewsland.com

Tel: 02-727-3503-5, 02-377-5206
Fax: 02-374-7399