News

กระบวนการประชาธิปไตยที่พลเมืองไทยต้องอดทน 6 มิถุนายน 2552

กระบวนการประชาธิปไตยที่พลเมืองไทยต้องอดทน:ดร.ถวิลวดี บุรีกุล* สถาบันพระปกเกล้า

หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์  บทความพิเศษ 6 มิถุนายน 2552

      ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา  เราจะพบว่ามีประเทศที่เป็นประชาธิปไตยมากขึ้นเรื่อยๆ  และประเทศเหล่านั้นได้มีการมีการยอมรับสถาบันที่มาด้วยวิถีประชาธิปไตยมากขึ้น  ประกอบกับการมีแรงผลักดันทั้งจากภายในและภายนอก  ทำให้คำว่า  "จิตวิญญาณของประชาธิปไตย"  ได้แผ่ขยายไปในชุมชนนานาชาติอย่างกว้างขวาง  ประชาธิปไตยจึงกลายเป็นระบอบการปกครองที่มีประเทศต่างๆ   นำไปใช้ในการปกครองประเทศมากกว่าระบอบอื่นโดยปริยาย  จนกระทั่งหากประเทศใดต้องการพัฒนาให้ประชาชนอยู่ดี  มีสุข  ทั้งกายและใจ  คงต้องมองหากระบวนการที่มุ่งสู่การเป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริง

     ในหลายประเทศที่มีการปรับระบบการปกครองเป็นประชาธิปไตยก็เกิดเห็นผลต่อสังคม  เศรษฐกิจ  และการเมืองอยู่พอสมควร  แต่การศึกษาด้านนี้ยังไม่เด่นชัดนัก  อย่างไรก็ดี   คงมีไม่กี่ประเทศที่เมื่อเป็นประชาธิปไตย  หรือได้มาซึ่งประชาธิปไตยแล้ว  กลับหันเหไปสู่การปกครองรูปแบบอื่นอีก  หรือยังคงชื่นชอบกับการปกครองที่ไม่เป็นประชาธิปไตย

     มีการกล่าวถึงประชาธิปไตยและกระบวนการประชาธิปไตยว่าเกี่ยวข้องกับเสรีภาพ  ความเท่าเทียมและความเป็นธรรม  นอกจากนี้ยังมีเรื่องของการแสดงความต้องการส่วนรวม  การพัฒนาคุณธรรมของแต่ละคน  การยอมรับความแตกต่างระหว่างมนุษย์แต่ละคน  หรือการมีเหตุผล  และประสิทธิภาพของการตัดสินใจ  ซึ่งก็คือเรื่องคุณภาพของประชาธิปไตยด้วย  และเกิดขึ้นกับประชาชนจำนวนมาก  คุณค่าของประชาธิปไตยเหล่านี้เป็นสิ่งที่คนเราต้องการในการดำเนินชีวิต  ทั้งนี้  วิธีการที่ได้มาซึ่งคุณค่าเหล่านี้คือการดำเนินการอย่างต่อเนื่องของระบบการเมืองที่เป็นประชาธิปไตย

       หลายทศวรรษที่ผ่านมา  มีการยอมรับกันว่าสิ่งที่ประชาธิปไตยมอบให้ประเทศที่นำระบอบการปกครองนี้มาใช้ก็คือ  ความเท่าเทียมกันทางการเมือง  อิสรภาพของบุคคล  หรืออาจมีผลทางอ้อม  เช่น  การเป็นสถาบันรัฐชาติที่ยั่งยืน  การมีโครงสร้างทางการบริหารและกฎระเบียบที่มีเหตุผล  มีประสิทธิภาพและประสิทธิผล  เกิดสันติภาพทั้งภายในและระหว่างชาติ  มีการพัฒนาเศรษฐกิจ  มีการยอมรับการมีนโยบายทางด้านสวัสดิการและการกระจายทรัพยากร

 

     ดังนั้นหากถามว่าประเทศควรจะปกครองอย่างไร  สิ่งที่น่าจะเป็นคำตอบน่าจะเป็นวิธีการปกครองที่สามารถนำประเทศไปสู่สิ่งที่ดีต่อชีวิตของพวกเขาที่เห็นเป็นรูปธรรมชัดเจน  อาทิ  สันติสุข   หรือการมีเศรษฐกิจดี  ความกินดีอยู่ดีอย่างยั่งยืน  ซึ่งในบางประเทศที่ผู้นำเก่ง  ดี  มีคุณธรรม  อาจสนองสิ่งนี้ได้โดยไม่ต้องถามว่าเป็นประชาธิปไตยหรือไม่  แต่เมื่อเปลี่ยนผู้ปกครอง

หรือกลุ่มปกครอง  สิ่งที่เคยได้อาจเปลี่ยนไป  กติกาประชาธิปไตยจะช่วยนำการปฏิบัติของผู้ปกครองและพลเมืองทุกคนให้มุ่งไปสู่อนาคตที่พึงปรารถนาได้

     แต่กระนั้นก็ตามคงไม่มีใครจะประกันได้ว่าประชาธิปไตยจะไม่มีวันนำไปสู่ความยากจนหรือความไม่เท่าเทียมได้  เพราะหากพิจารณาให้ถ่องแท้จะพบว่าผลที่น่ากลัวอาจเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการประชาธิปไตย  ที่อาจเป็นเรื่องสังคมที่ถูกแบ่งแยก  การเลือกตั้งที่เกิดความขัดแย้งหรือ  เรื่องอื่นที่นำไปสู่ความขัดแย้งรุนแรงได้  นั่นคือกระบวนการแข่งขันทางประชาธิปไตยที่เคยเกิดขึ้นในหลายๆ  ที่  แต่คงมีคนบางส่วนที่เกรงว่าการเมืองแบบมีส่วนร่วมจะทำให้เกิดเศรษฐกิจตกต่ำ  การพัฒนาเกิดขึ้นยาก  นั่นอาจเป็นเรื่องที่มองระยะสั้น  เพราะอันที่จริงมันคือกระบวนการเรียนรู้ประชาธิปไตยของผู้คนในประเทศนั้น  ที่สำคัญก็คือ  ประชาธิปไตยยังมีข้อดี  เพราะมีผลบวกมากมาย  มิเช่นนั้นคงไม่เป็นระบอบการปกครองที่ผู้คนทั่วโลกเรียกร้อง

     เมื่อกล่าวถึงข้อดีของประชาธิปไตย  หลายประเทศในโลกตะวันตกเชื่อว่า  ธรรมาภิบาลจะนำมาซึ่งการพัฒนาทางเศรษฐกิจ  หรือการส่งเสริมประชาธิปไตยจะนำมาซึ่งสันติสุขในชาติหรือระหว่างชาติ  แนวคิดเหล่านี้ไม่ผิด  แต่ต้องการการอธิบายทางทฤษฎีและเหตุผลเชิงประจักษ์อีกด้วย  นักวิชาการนานาประเทศจึงมีการศึกษากระบวนการประชาธิปไตย  ปัญหาของความยั่งยืนของประชาธิปไตย  ซึ่งมักจะให้คำตอบเป็นเรื่องของคุณภาพประชาธิปไตย  ดังตัวอย่างของประเทศไทยที่ประชาธิปไตยน่าจะยั่งยืนหลังจากการมีรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย  พุทธศักราช   2540  แต่กลับเป็นว่าเราถอยหลังไปอีกมากหลังการยึดอำนาจ  และต้องมาเริ่มคิดกันใหม่ว่าจะเดินอย่างไรให้ถูกหลักการประชาธิปไตย  ท่ามกลางความไม่ลงรอยกันทางความคิดของผู้คนที่เกิดขึ้นชัดเจนหลังจากนั้น

     นี่เองประชาธิปไตยจึงมิใช่เป็นเพียงตัวแปรตามหรือผลผลิตของกระบวนการปกครองที่ต้องการการอธิบายที่มาและปัจจัยที่นำมาสู่ประชาธิปไตยอีกต่อไป  แต่ยังเป็นตัวแปรอิสระในตัวเองที่อาจจะช่วยอธิบายผลทางเศรษฐกิจ  สังคมและการเมืองได้อีกด้วย  ประชาธิปไตยในที่นี้จึงมิใช่เป็นเป้าหมายสุดท้าย  แต่เป็นจุดกำเนิดของผลต่างๆ  ที่จะตามมาด้วย

     ที่ผ่านมาเรามีความพยายามปฏิรูปการเมือง  และเมื่อดำเนินการแล้วก็อยู่ได้ไม่นานพอที่จะเห็นผลของประชาธิปไตยที่พึงปรารถนา   จึงมีบางคนกล่าวว่าไม่ต้องเป็นประชาธิปไตยก็ได้  เพราะกว่าผลจะออกมาก็ทนรอกันไม่ได้แล้ว  ทั้งนี้  สิ่งที่เราเห็นกันมักเป็นผลระยะสั้นของประชาธิปไตย  ซึ่งอาจแตกต่างจากผลในระยะยาวที่ยั่งยืนกว่า  ถ้าเราไม่ตระหนักสิ่งนี้เราก็ค่อนข้างเสี่ยงที่จะได้เห็นผลอันแท้จริงของประชาธิปไตย  ยกตัวอย่าง  กระบวนการเลือกตั้งเป็นส่วนหนึ่งของประชาธิปไตย   แต่ไม่ใช่ทั้งหมด  แต่อย่างไรก็ดี  หากการเลือกตั้งสุจริตและเป็นธรรมพอ  ประชาชนน่าจะยอมรับผลนั้นได้  เพราะเรายึดหลักเสียงข้างมาก  แต่หากประชาชนอีกกลุ่มไม่พอใจ  ทนรอไม่ได้  ก่อการประท้วง  และทำให้เกิดการเบียดแทรกของการปกครองระบอบอื่น  เราย่อมมิได้มีโอกาสเห็นผลของประชาธิปไตยที่จะเกิดขึ้นในระยะยาวเลย  มีผู้กล่าวว่า  อย่างน้อยราว  20  ปีของกระบวนการประชาธิปไตยจึงจะเห็นผลที่น่าประทับใจของประชาธิปไตยอย่างแท้จริง

     บางประเทศที่เป็นประชาธิปไตยใหม่  มีอายุของประชาธิปไตยไม่ถึง  5  ปี  อาจยังไม่ทันได้ใช้เครื่องมือของประชาธิปไตยในการเอาชนะความไม่เท่าเทียมกันในสังคม  หรือบางครั้งที่เราเชื่อว่าประชาธิปไตยจะลดความยากจนได้  แต่กระบวนการยังต้องใช้เวลา  การไปลดผลประโยชน์ของคนบางกลุ่ม  บางพวกที่เคยได้  เคยผูกขาด  คงมีการต่อต้านพอสมควร  กระบวนการที่นุ่มนวลและมีเหตุผลจึงจะนำพาประเทศไปถึงจุดหมาย  นี่เองประสบการณ์เรื่องประชาธิปไตยจึงสะสมขึ้นในแต่ละประเทศ  เพราะกระบวนการประชาธิปไตยต้องฝังรากและเติบโตอย่างสมบูรณ์ต่อไป

     การเปลี่ยนแปลงต่างๆ  อาจก่อให้เกิดแรงเสริมที่ทำให้ประชาธิปไตยเกิดขึ้นและลดความไม่เท่าเทียม  ช่วยเสริมสร้างความเข้มแข็งของการปกครองที่จะทำให้รักษาสันติสุขไว้ได้   แต่บางครั้งก็แลกกันระหว่างการลดความไม่เท่าเทียมด้วยวิถีประชาธิปไตยกับการชะงักงันทางเศรษฐกิจ  หากการแลกเปลี่ยนนี้ยังคงมีอยู่  ความเข้าใจเรื่องประชาธิปไตยจะยิ่งสำคัญมากขึ้น  เนื่องจากผลของประชาธิปไตยที่คาดหวังอาจถูกถ่วงน้ำหนักเมื่อประเมินดูเรื่องความพอใจต่อการปฏิรูปการเมือง  ดังนั้นการปฏิรูปคงต้องเดินไปพร้อมกันทั้งการเมือง  เศรษฐกิจ  และสังคม  โดยให้ประชาชนมีส่วนร่วม  เพราะประชาชนคือผู้รับผลการปฏิรูปนั้น


     หากมองไทยอีกครั้ง  ประชาธิปไตยได้เพิ่มการเติบโตทางเศรษฐกิจหรือลดความขัดแย้งโดยลดความไม่เท่าเทียมกันทางสังคมบ้างหรือไม่  หรือเพราะกระบวนการที่เรียกว่าเป็นประชาธิปไตย  แต่อันที่จริงมันสวนทางกับหลักการที่ควรจะยึดถือ 

     จากการศึกษาของสถาบันพระปกเกล้าอย่างต่อเนื่อง  พบว่ากระบวนการประชาธิปไตยที่ล้มลุกคลุกคลานนั้น  นำมาสู่ความไม่ไว้วางใจกันของผู้คน  เพราะหากมองการเลือกตั้งที่สุจริตและเที่ยงธรรมเป็นสิ่งหนึ่งที่อธิบายกระบวนการประชาธิปไตย  กระบวนการเลือกตั้งของเราต่างหากที่อาจมีผลต่อความแตกแยก  เพราะการแข่งขัน  และการมีกติกาที่คนบางกลุ่มไม่อาจยอมรับได้  ผลที่ออกมาจึงไม่เป็นที่ยอมรับในบางช่วงเวลา  และนำมาสู่การไม่ยอมรับสิ่งที่ตามมาด้วย


     เราจะเต็มใจเสริมสร้างกระบวนการประชาธิปไตยกันไหม   หากกระบวนการที่กำลังดำเนินการลดความไม่เท่าเทียมทางสังคม  ซึ่งเป็นกระบวนการสำคัญของประชาธิปไตย  อาจเป็นชนวนของความขัดแย้งรุนแรงภายในประเทศ  แต่อย่างไรก็ดี  ทางออกที่เหมาะสมมีเสมอในสังคมไทย  นั่นคือประชาธิปไตยที่ยึดหลักสมานฉันท์สันติสุขของคนในชาติ  การเสวนาหาทางออกร่วมกันบนพื้นฐานของประชาธิปไตยจึงมิใช่เรื่องยากหรือทำกันไม่ได้  แต่ขึ้นกับว่าจะทำหรือไม่  หรือจะหารือกันเฉพาะในสภาเท่านั้น

 


     ขณะนี้สังคมไทยกำลังถึงทางแยกตรงนี้  การช่วยลดความขัดแย้งนี้ได้หากผู้ปกครองประเทศ  และนักการเมืองเข้าใจบทบาท   หน้าที่และความรับผิดชอบของตนเอง  และคิดถึงชาติเป็นสำคัญ  เช่นเดียวกับประชาชนที่ต้องอดทน  และร่วมมือร่วมใจทำหน้าที่พลเมืองไทย  แทนการเป็นเพียงราษฎรที่ถูกเมินเมื่อผลประโยชน์ทุกอย่างลงตัวกันแล้ว  และถูกนำมาใช้เมื่อสถานการณ์ตรงกันข้าม.

Tel: 02-727-3503-5, 02-377-5206
Fax: 02-374-7399